การเริ่มต้นทำงานของคนทุกคนที่มีรายได้เกิน 15,000 บาทจะต้องมีสิ่งหนึ่งที่ต้องเริ่มเหมือนกัน นั่นก็คือการทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั่นเอง ซึ่งสิ่งที่เราเรียกว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ เงินที่เก็บไปจากบุคคลทั่วไปหรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งต้องมีรายได้ตามเกณฑ์ที่กฎหมายได้กำหนดไว้นั่นเอง ซึ่งเจ้าภาษีรายได้บุคคลธรรมดานี้จะเก็บเป็นรายปี โดยคิดจากรายได้ทั้งปีของคนๆนั้นนั่นเอง ซึ่งปกติแล้วจะเริ่มจ่ายกันในช่วงเดือนมกราคมของทุกปีนั่นเอง ซึ่งใครที่เสียภาษีเป็นประจำอยู่แล้วก็คงจะเข้าใจดี แต่ทั้งนี้ภาษีก็มีเรื่องให้เราต้องทำความเข้าใจเยอะเหมือนกัน จึงควรศึกษาเกี่ยวกับการเสียภาษีให้มากๆ เพื่อไม่ให้เราต้องเสียสิทธิบางอย่างไปอย่างน่าเสียดายนั่นเอง
และผู้ที่มีหน้าที่ต้องจ่ายภาษีนี้ต้องไปแสดงรายการเงินได้(รายได้)ของตนเองตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนดภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป เช่น รายได้ 2558 จะต้องยื่นในมีนาคม 2559 นั่นเอง ซึ่งเจ้าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานี้สามารถใช้สิทธิในการลดจำนวนเงินที่เราต้องจ่ายลงได้ หรือที่เราเรียกว่าการลดหย่อนภาษีนั่นเอง ซึ่งการทำประกันชีวิตก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดหย่อนภาษีได้ หลายๆคนอาจจะรู้อยู่แล้วว่าการทำประกันชีวิตนั้นเราสามารถนำมาลดหน่อยภาษีได้ด้วย ซึ่งการลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิตนั้นสามารถแบ่งได้ง่ายๆเป็น 3 แบบ ได้แก่
-
ประกันชีวิตของตัวผู้ยื่นจ่ายภาษีเอง
ซึ่งเบี้ยประกันชีวิตนี้สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ค่าเบี้ยประกันชีวิตจะต้องไม่รวมค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับการทำสัญญาเพิ่มเติมอื่นๆด้วย และต้องมีกำหนดระยะเวลาในการคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และถ้าหากเป็นกรมธรรม์ประกันชิวิตที่มีผลตอบแทนคืนให้ ผลประโยชน์นั้นจะต้องมีมูลค่าไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายรายปีหรือเบี้ยประกันชีวิตสะสมตลอดการจ่ายเบี้ยประกันนั้นๆนั่นเอง ที่สำคัญบริษัทประกันชีวิตที่ออกกรมธรรม์จะประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้ ก็อย่ารอช้าที่จะนำประกันของตนไปยื่นเพื่อลดหย่อนภาษีกันด้วยนะ บางทีเมื่อนำมาลดหย่อนแล้ว คุณอาจจะไม่ต้องเสียภาษีเลยก็ได้ เห็นไหมว่าน่าสนใจมากขนาดไหน
-
ประกันสุขภาพของบิดา มารดาของตัวผู้ยื่นจ่ายภาษี
ซึ่งเบี้ยประกันชีวิตนั้นสามารถนำมาลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 15,000 บาท และผู้ยื่นจ่ายภาษีต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา หรือมารดา และบิดามารดาต้องเป็นผู้มีเงินได้ไม่เกิน 30,000 บาท นอกจากนี้บิดา มารดาต้องอยู่ในประเทศไทยหากผู้ยื่นจ่ายภาษีไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่ถ้าหากมีคนมาช่วยจ่ายเบี้ยประกันในกรมธรรม์ประกันชีวิตเดียวกัน จะสามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันของทุกคนที่จ่ายต้องไม่เกิน 15,000 บาทนั่นเอง ใครที่มีบิดา มารดา ทำประกัน ก็ลองนำมายื่นเพื่อลดหย่อนภาษีกันนะ ถึงจะสามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาทเท่านั้น แต่เมื่อรวมๆ กับรายการลดหย่อนภาษีตัวอื่นแล้ว ก็ช่วยลดหย่อนภาษีไปได้มากเลยล่ะ
-
ประกันชีวิตแบบบำนาญของตัวผู้ยื่นจ่ายภาษีเอง
เบี้ยประกันชีวิตนี้สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ของผู้ยื่นจ่ายภาษี และไม่เกิน 200,000 บาท และหากรวมกับเบี้ยกองทุนอื่นๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน หรือค่าซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นต้น แล้วผู้ยื่นจ่ายภาษีสามารถนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท และประกันชีวิตนั้นจะต้องเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้ยื่นจ่ายภาษีจะได้รับผลประโยชน์เมื่อผู้มีเงินได้มีอายุตั้งแต่ 55 ปีจนถึงอายุ 85 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งผู้ยื่นจ่ายภาษีจะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยครบถ้วนด้วย นอกจากนี้ยังรวมถึงกรณีที่ผู้ยื่นจ่ายภาษีตะได้รับผลประโยชน์เงินบำนาญเป็นรายงวดตลอดช่วงที่มีชีวิตอยู่ด้วย และที่สำคัญบริษัทประกันชีวิตที่ออกกรมธรรม์จะประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้นด้วย ซึ่งก็เป็นการเปิดช่องทางในการลดหย่อนภาษีได้เป็นอย่างมากเลยล่ะ ใครที่มีอะไรสามารถลดหย่อนภาษีได้ ก็อย่าปล่อยให้โอกาสของตัวเองหลุดลอยไปนะ มาลดหย่อนภาษีกันเลย
และนี่คือแนวทางใน ลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิต เราเองหรือแม้กระทั่งบิดา มารดาของเราด้วยนั่นเอง ซึ่งหลายๆคนก็ได้ใช้วิธีการนี้ในลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอยู่ เพราะเป็นวิธีการง่ายๆที่สามารถสร้างประโยชน์ในตนเองได้ในคราวเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านผลตอบแทนหรือการคุ้มครองดูแลสุขภาพในด้านอื่นๆด้วยนั่นเอง อีกทั้งการลดหย่อนภาษีด้วยประกัน ยังสามารถลดหย่อนได้ถึง 100,000 บาท ซึ่งก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยล่ะ