Do – Don’t ถ้าคิดจะเริ่มต้นทำธุรกิจ อะไรทำได้ อะไรห้ามทำ

คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต เมื่อได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนสูงๆ ย่อมต้องนำเอาความรู้นั้นไปต่อยอดสร้างรายได้เพื่อนำเงินทั้งหมดทั้งมวลมาใช้ชีวิตและเติมเต็มสิ่งที่เราขาด แน่นอนว่าการหางานดีๆ สักงานทำมันอาจจะง่ายในตอนแรก และนับว่าเป็นความสุข หากว่างานนั้นเป็นงานที่เรารักและมีแรงปรารถนาที่จะทำเพื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็คงไม่มีใครอยากเป็นลูกน้องคนอื่นไปตลอดชีวิตจริงไหม ? แน่นอนว่าคงไม่มีใครเกิดมาแล้วมีแววที่จะเป็นเจ้าคนนายคน หรือเจ้าของธุรกิจมูลค่าสูง หรือมีแววเป็นเถ้าแก่ที่มีคนนับหน้าถือตากันมากมายตั้งแต่เริ่ม ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป มีความสำเร็จก็ต้องมีความล้มเหลวเป็นของคู่กัน

จากเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่มีโอกาสได้ไปอ่านมาเกี่ยวการเริ่มต้นทำธุรกิจ เด็กหนุ่มใส่แว่นที่มาเข้าร่วม ท่าทางดูเรียบร้อย ยกมือขึ้นถามวิทยากรที่กำลังบรรยายในงานสัมมนางานหนึ่ง ว่า “คนทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นเถ้าแก่หรือเปล่าครับ ?” ซึ่งถ้าเป็นเราก็อาจตอบว่า ทุกคนนั้นมีความเป็นเถ้าแก่ หรือรังสีของความเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่ในตัว เพียงแต่ประสบการณ์และเวลาจะเป็นตัวกำหนดว่า เมื่อไหร่สิ่งเหล่านั้นจะถึงเวลาเปิดเผยและได้ใช้ในกิจการที่ตัวเองต้องการ หากวันหนึ่งที่เราเกิดไม่พร้อม แต่ยังดันทุรังที่จะเค้นสิ่งเหล่านี้ออกมา แน่นอนว่าความล้มเหลวก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จะเห็นได้ว่าในคำตอบมันมีทั้งความมั่นใจและความไม่มั่นใจ จึงไม่อาจตัดสินได้ว่า จริงๆ แล้วคนทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นเถ้าแก่ได้รึเปล่า ขึ้นอยู่กับหลายๆ อย่างประกอบกัน อีกทั้งในแววตาของเด็กหนุ่มคนนึ่งที่เห็น ก็เหมือนจะมีความลังเลและความไม่แน่ใจเมื่อถามอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มคนนี้ แต่คนอื่นๆ ที่ถามคำถามจำพวกนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

“เราควรจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าเราเหมาะกับอะไร
ไม่ใช่ให้ใครมาบอกว่า เราทำไม่ได้
หรือเหมาะกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”

ประเภทที่เคยเจอว่า คุณแม่อยากให้ทำงานบริษัท แต่ตัวเองนั้นอยากจะเปิดร้านเบเกอรี่ร่วมกับเพื่อนมากกว่า ต้องบอกก่อนเลยว่ายังไงความต้องการของคนอื่น ก็มักจะเข้ามาขัดกับความต้องการของตัวเองอยู่เสมอ บางครั้งมันอาจไม่ได้เป็นงานที่เรารัก เราชอบ จึงทำได้ไม่ดี ไม่เต็มที่ ไม่อยากที่จะไปแตะต้องตรงนั้น ทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจยังไงมันก็ออกมาดี เพราะมันเป็นความต้องการของเราจริงๆ รวมถึงการเป็นเจ้าของกิจการ เจ้าของร้านจักรยาน ร้านแผ่นเสียง การมีโรงงานเป็นของตัวเอง หรือการเป็นเจ้านายของตัว แน่นอนมันทำได้ถ้ามันเป็นความชอบของเราจริงๆ แต่ ! ต้องเน้นย้ำว่าไม่ใช่ทุกคนทีี่เหมาะจะเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือเหมาะที่จะเป็นลูกจ้าง สิ่งสำคัญ คือ เราต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง คิดให้รอบคอบว่าเราเหมาะกับอะไร หรือต้องการอะไรมากที่สุด อย่าพยายามให้ใครมาตัดสินเราว่าอย่างนั้นทำได้ อย่างนี้ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

เห็นพูดมาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางออกซะทีเดียว ถึงจะบอกว่าเป็นเจ้าของธุรกิจไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่จะให้เลิกพยายาม เพียงแต่ต้องรอบคอบ และลองอ่านกฎ Do และ Don’t ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจเสียก่อน จะได้รู้ว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำบ้าง ถึงจะตั้งตัวได้

ให้คิดเพื่อตัวเอง เลือกชีวิตที่เป็นของตัวเอง

“ถ้าไม่คิดเพื่อตัวเองแล้วจะทำไปทำไม”

เรื่องนี้นับเป็นเรื่องแรกที่เราควรทำก่อนเริ่มธุรกิจ สิ่งที่ควรทำก็คือ การคิดเพื่อตัวเองให้มาก พยายามค้นหาให้เจอว่าตัวเองชอบและเหมาะกับอะไรมากที่สุด ลองดูให้ดีว่าตัวเองเหมาะที่จะเป็นเถ้าแก่ พร้อมที่จะถอดชุดสูท ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นออกไปเร่ขายของตามที่ต่างๆ รึเปล่า รวมถึงหากว่าธุรกิจที่เราตั้งใจไว้ไม่เป็นไปตามที่คิดแล้วคุณจะยังทำมันต่ออยู่ไหม หากคำตอบข้างในค่อนไปทางไม่มั่นใจก็ไม่ใช่เรื่องผิด ถึงไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจแต่ไปรับหน้าที่อื่นๆ เป็นมือปืนรับจ้างก็ไม่เสียหาย ไม่ว่าจะทำในหน้าที่อะไร ถ้าเรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะให้ธุรกิจเดินต่อไปข้างหน้า เกิดความสำเร็จได้มันก็เท่เหมือนๆ กัน

“ฟังแต่ยังไม่เชื่อ”

ต่อมาสิ่งที่เราไม่ควรทำเลย คือ การที่ให้ใครต่อใครมาบอก หรือตัดสินว่าเราควรจะเป็นอะไร หรือไม่ควรจะทำอะไร บอกกันตามตรงว่าถึงแม้จะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ คุณครู เพื่อนของเรา หรือแม้แต่คนที่อยู่รอบตัวก็ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่เคารพ หรือไม่ฟังความเห็นจากคนที่เรารัก เพียงแต่ขอให้ฟัง แต่อย่าเพิ่งเชื่อ ให้เราฟังความคิดเห็นจากคนอื่นๆ ด้วยความเคารพ ความนอบน้อม แล้วนำทุกอย่างมาประกอบการตัดสินใจ เพื่อเป็นการสะท้อนตัวเราว่าเชื่ออย่างที่ตัวเราชอบจริงรึเปล่า อยากให้ทุกคนพยายามที่จะ “สุภาพแต่เข้มแข็ง” มีความเชื่อมั่นในตัวเอง พร้อมรับฟังคำติ-ชม และอดทนที่จะอธิบายคนรอบๆ ตัวฟังถึงความชอบและความเชื่อของเรา

“ถ้าเขาไม่รักสิ่งที่เขาทำจริงๆ เกิดเจ๊งหรือขายไม่ดี
เขาก็จะเปลี่ยนชีวิตให้สมถะ และจะทำในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป”

จากที่ได้อ่านเรื่องราวการประสบความสำเร็จของผู้คนในสาขาอาชีพต่างๆ ทั้งไทยและเทศ พวกเขาล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนๆ กัน ตรงที่ก่อนเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ก็มักจะมีคนคอยทำร้ายความฝันด้วยประโยคซ้ำๆ เดียวๆ ว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก” “น่าจะยาก” “เด็กเกินไป” “ไม่เหมาะ” แต่ดีตรงที่พวกเขามีความแน่วแน่ ยอมเสี่ยง ยอมเจ็บในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ พยายามมองเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้กลายเป็นบททดสอบที่สำคัญว่าตัวเองรักในสิ่งที่ทำมากพอรึเปล่า ซึ่งเชื่อว่าถ้าคนเหล่านั้นไม่ได้รักในสิ่งที่ตัวเองทำจริงๆ เขาก็คงจะไม่อดทนและแปรเปลี่ยนไปตามกระแสสังคม และเดินหน้าทำมันต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจเรียกคนเหล่านั้นได้ว่าเป็น “ศิลปิน” อีกทั้ง คนบางคนก็โชคดีมาตั้งแต่ต้นที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เหมาะกับอะไร ส่วนคนที่ไม่มีอะไรพิเศษแบบนั้นก็ต้องลองผิดลองถูกให้รู้ก่อน ถ้าลองจนหมดแต่ยังไม่รู้แถมยังใจร้อนอีก แนะนำว่าให้ลองเลย เพียงแต่เราต้องเข้มแข็งกับผลลัพธ์เท่านั้นเอง

จริงๆ เราอยากเข้าข้างตัวเอง หรือกลัวที่จะล้มเหลวมากเกินไป

“การหาความสมดุลระหว่างหัวสมองและหัวใจ
Follow your heart but take your brain with you”

เท่าที่เคยเห็นบุคลิกลักษณะของคนที่เป็นเถ้าแก่ หรือเป็นเจ้าของธุรกิจจะมีอยู่ 2 ประเภท ไม่เป็นคนที่มั่นใจสุดๆ ก็เป็นคนที่ขี้กลัวแบบสุดๆ ไปเลย จะหาคนที่อยู่ตรงกลางไม่ค่อยได้ เวลาที่เราเข้าข้างตัวเอง เราก็มักจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการเป็นอันดับแรกเสมอ มันเป็นเรื่องของจิตวิทยา แบบนี้ภาษาฝรั่งเรียกว่า “Selective Bias” เกิดความเอนเอียงจากการเลือก เลือกดูแต่ข้อมูล หรือสิ่งที่ถูกใจเรา เอาจริงๆ ก็คล้ายกับการ “มโน” อยู่กลายๆ เพียงแต่ว่าการมโนในแบบนี้มันมีข้อมูลที่ถูกต้องอ้างอิงอยู่ เราเลือกที่จะอ่าน เลือกจำแค่สิ่งที่ให้ให้กำลังใจเรา ถูกใจเรา

ส่วน Selective Bias อีกประเภท ก็คือพวกที่มีความกลัวอยู่เต็มไปหมด ทุกอย่างดูเป็นแง่ลบ กลัวไม่สำเร็จ ถึงแม้จะมีความกล้าและตัดสินใจเลือกไปแล้วว่าจะเริ่มทำธุรกิจแบบนี้ แต่ก็เกิดความลนลาน เพียงแค่พูดพรีเซนต์ออกมาน้ำเสียงที่ดูสั่นเครือก็สะท้อนได้ว่าเกิดความไม่มั่นใจซะแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ก็โทษใครไม่ได้ เพราะนี่คือโลกของธุรกิจที่หาสมดุลได้ยากหากว่าเพิ่งเริ่มต้น ยังไงก็ต้องสู้และพยายามกันต่อไป

ถึงวิสัยทัศน์กว้างไกลแค่ไหน แต่ก็ต้องมีแผนสองรองรับไว้เสมอ

“แรงปรารถนาของจิตมีพลังมาก
ถ้าคิดและโฟกัสไปว่าต้องสำเร็จ
โอกาสจะสำเร็จก็จะมีมากขึ้น”

สิ่งที่อยากจะสื่อในส่วนนี้ก็เหมือนกับหัวข้อที่ไม่ได้แตกต่างกันมาก เมื่อเราคิดจะทำอะไรสักอย่าง มีแผน 1 ก็ต้องมีแผน 2 เผื่อบางทีเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาจะได้ไม่ล้มเหลวมากนัก การทำธุรกิจก็เช่นกัน เอาง่ายๆ ถ้าอยากจะให้สำเร็จก็ต้องเริ่มสะกดจิตตัวเองก่อนว่ามันสำเร็จ เทียบกับการเล่นเกมง่ายๆ อย่างเวลาที่เราขยำกระดาษที่ไม่ได้ใช้แล้วเขวี้ยงลงไปที่ถังขยะ เมื่อเราคิดว่าลง มันก็จะลง วิธีนี้มีชื่อเรียกว่า “Visualizing Success” เป็นสิ่งที่นักกอล์ฟ หรือนักบาสในระดับโลกนำมาใช้กันอยู่บ่อยๆ เวลาที่เข้าแข่งขัน หรือเวลาที่เราเล่นหมากรุก ให้คิดล่วงหน้าเป็นฉากๆ เอาไว้เลยว่าจะทำแบบนี้ ข้ามแบบนี้ ถ้าทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเราจะโต้ตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งมันต่างจากการเข้าข้างตัวเองอยู่มากโขตรงที่มีการตอบโต้เพิ่มด้วย หากว่าธุรกิจที่เราตัดสินใจทำนั้นเกิดไม่ง่าย แล้วเราจะต้องทำยังไงต่อไป ต้องมีแผนรองรับที่หลากหลาย อย่ามัวแต่ไปคิดเข้าข้างตัวเองว่าอะไรก็ง่าย เป็นได้ ยังไงต้องประสบความสำเร็จแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งไม่จริง

“ความหวังให้อะไรเราได้บ้าง?”

เมื่อเริ่มต้นลงมือทำธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว แนะนำว่าให้ใช้ใจคิด ลองใช้สามัญสำนึก ผสมผสานความกล้าที่จะตัดสินใจก่อนว่าจะทำแบบไหน สิ่งที่เราหวังให้อะไรกับตัวเราและธุรกิจของเราได้บ้าง คิดในแบบที่ไม่มีเงื่อนไขมาจินตนาการ จากนั้นก็ค่อยมาใช้สมองมองในแบบ “What if” ไปเป็นฉากๆ ว่าถ้าเกิดอย่างนั้นขึ้น อย่างนี้ขึ้น หากวัตถุดิบขาดตลาด พนักงานไม่เพียงพอ เราจะต้องแก้ปัญหายังไง ไปจนถึงว่าหากวันหนึ่งธุรกิจเกิดประสบความสำเร็จ เราจะทำยังไงให้มันติดลมบน แต่ถ้าไม่สำเร็จ จะต้องมีแผน 2 แผน 3 หรือจะลงจากหลังเสือ ไม่เดินหน้าต่อ ขอให้แยกออกเป็น 2 ความคิด แล้วทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปได้โดยที่เราไม่ต้องกลัว หรือคิดอะไรไปเองล่วงหน้า

สุดท้าย หากเราเตรียมความพร้อมมาอย่างดี รู้จักตัวเองดี มีทางหนีทีไล่ หรือตั้งใจที่จะลุยต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ยังมองไม่เห็นความสำเร็จ ก็ต้องอดทน ทำงานให้หนัก อย่ายอมแพ้ง่ายๆ สนุกกับสิ่งที่ทำอยู่เสมออย่างไม่เอ่ยปากบ่น เราก็จะนิ่งพอและดำเนินธุรกิจของเราไปได้อย่างมีความสุข นี่ก็เป็น Do และ Don’t สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำก่อนเริ่มต้นธุรกิจ หรือเป็นเจ้าของกิจการ หวังว่าจะนำเอาไปปรับใช้และเป็นแรงผลักดันให้กับใครหลายๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไรได้เป็นอย่างดี